เศรษฐกิจพอเพียง..ประโยชน์สุข..สู่..กลุ่มลุ่มน้ำโขง
ปัจจุบัน กลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) นับเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคมวัฒนธรรมที่สำคัญและใกล้ชิดที่สุดของไทย
โดยเฉพาะความเป็นภาคส่วนสำคัญของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 จะทำให้กลุ่มประเทศ GMS ที่
ประกอบด้วยประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม จีน และไทย
กลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลกมากยิ่งขึ้น
การ
พัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ย่อมส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรพลังงานเพิ่มขึ้นอย่าง
มากมายมหาศาล และอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าจึงมีความสำคัญ
อย่างยิ่งยวดต่อการอนุรักษ์พลังงาน
เพื่อให้ทั้งภูมิภาคมีพลังงานใช้อย่างพอเพียงและมั่นคง
โดยส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของชุมชนน้อยที่สุด
ตัวอย่าง
ของวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมล่าสุดของโลกที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก คือ
สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างไร้รูปแบบเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง
และหิมะที่ตกผิดฤดูกาล
เฉพาะอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภัยแล้งในกลุ่มประเทศ GMS เป็น
ประเด็นที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ เพราะแม้จะเกิดถี่ขึ้นคล้าย ๆ กัน
แต่รูปแบบและช่วงเวลากลับแตกต่างกันอย่างมาก
และยังไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลระหว่างกันและกันอย่างเพียงพอ
สำหรับประเทศไทยวันนี้ เรามีรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงานชุมชนด้วย ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่
ให้ความสำคัญกับการดำรงชีวิตด้วยความพอเพียง การมีเหตุมีผล และความพอประมาณ
(3 ห่วง) ภายใต้องค์ความรู้ และคุณธรรม (2 เงื่อนไข)
เป็นการพัฒนาแนวคิดเชิงพุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhism Economics) อันว่าด้วยเรื่องของการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ ไม่เบียดเบียนกันและกัน และร่วมมือกันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น ได้
ประสบผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของไทย
จึงได้รับการยอมรับจากผู้แทนกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง
ให้เป็นหลักสูตรหลักในการพัฒนาบุคลากรภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค
โครงการ “พัฒนาทุนมนุษย์ในภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคกลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ปี 2555” โดย
มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศร่วมกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อ
การพัฒนาประเทศ (สพร.) กระทรวงการต่างประเทศ
จึงได้บรรจุหลักสูตรว่าด้วยกรณีศึกษาสถานการณ์น้ำในประเทศไทย
จะส่งผลกระทบอย่างไรกับกลุ่มประเทศ GMS เพิ่มขึ้นในภาคของสิ่งแวดล้อม
โดย
นำการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริและเศรษฐกิจพอเพียงมาถอดบทเรียนเป็น
กรณีศึกษาแก่ผู้แทนระดับสูงจาก ภาครัฐและเอกชนจากประเทศกัมพูชา เมียนมาร์
ลาว เวียดนาม จีน และไทย
เพื่อเปลี่ยนวิกฤติน้ำให้เป็นโอกาสด้วยการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม
ศ.ดร.จี
ระ หงส์ลดารมภ์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
กล่าวถึงการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
และโครงการตามแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการน้ำและพลังงานในพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว มาเป็นต้นแบบและหลักสูตรในโครงการดังกล่าว
ที่จัดขึ้นในประเทศไทย เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า
“การน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมด้วยแนวทางการบริหารจัดการน้ำและพลังงานตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นกรณีศึกษาและถอดแบบเรียนแก่ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงนั้นเพราะเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมกับพื้นที่และภูมิสังคมวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน มีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาค
สำหรับกิจกรรมซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปนั้น นอกจากการที่ผู้แทนของกลุ่มประเทศ GMS จะได้ลงพื้นที่ดูโครงการตามแนวพระราชดำริหลายรูปแบบในพื้นที่ที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีโอกาสได้รับฟังการบรรยายเรื่อง กรณีศึกษาสถานการณ์น้ำในประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อ GMS อย่างไร? และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ โดย ดร.รอยล จิตรดอน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการถอดบทเรียนไปใช้ในแต่ละประเทศ”
ดร.รอ
ยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กล่าวถึงกรณีศึกษาสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทย
ที่ได้เฝ้าดูและติดตามอย่างใกล้ชิดว่า
“ใน
ช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
เราเริ่มสังเกตเห็นน้ำท่วมและภัยแล้งในพื้นที่เดียวกันเพราะการเปลี่ยนแปลง
สภาพอากาศ ฝนตกหนักมาก มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2545
และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ระดับน้ำทะเลก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกปีในอีก 10 ปีข้างหน้า”
ดร.รอยล ยังได้กล่าววิเคราะห์เปรียบเทียบประสบการณ์ของไทยว่าแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ใน GMS อาทิ
ทางตอนใต้ของเวียดนามจะแตกต่างออกไปไม่เหมือนกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ
ไม่ได้รับอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่นและน้ำท่วมจากแม่น้ำโขงเหมือนทางตอนใต้ของ
เวียดนาม ฯลฯ
ดร.รอ
ยล สรุปว่าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนประยุกต์ตามแนวพระราชดำรินั้น
จะใช้การบริหารจัดการน้ำและป่า เศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ฯลฯ
ที่อิงกับธรรมชาติของพื้นที่เป็นหลัก เพื่อใช้งบประมาณพอเหมาะ
และไม่เบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ
ประชาชนในพื้นที่สามารถรับไม้ต่อไปบริหารจัดการกันเองได้ในชุมชน
“การ
บริหารจัดการน้ำให้ได้ดีตามแนวพระราชดำรินั้น
ต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคลังความรู้
การใช้ระบบสารสนเทศมาช่วยในการจัดการน้ำได้ดีขึ้น
และที่สำคัญต้องรู้จักบริหารความเปลี่ยนแปลงให้เกิดประโยชน์สุขและการพัฒนา
อย่างยั่งยืน”
นายอู มิน คะยอ (U Myint Kyaw) รองประธานคณะกรรมการพลังงาน
และพลังงานทดแทน สมาคมวิศวกรพม่า ผู้แทนระดับสูงจากประเทศพม่า
หลังจากที่ได้ศึกษาดูงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงในหลายพื้นที่ทุกภูมิภาคของ
ไทย ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า
“วิถีชีวิตแบบพอเพียงเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดของมนุษย์ เพราะความสุขจากความพอเพียงมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการพัฒนาที่แท้จริงแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนให้มีความแตกต่างน้อยลง เกษตรทฤษฎีใหม่ทำให้ประชาชนผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่พักอาศัยอย่างพอเพียงได้ด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพา แต่สามารถเอื้อเฟื้อแก่คนอื่น ๆ ได้ด้วย”
“วิถีชีวิตเรียบง่ายของเกษตรกรไทยในโครงการตามแนวพระราชดำรินั้นมั่นคง ปราศจากความกลัวหรือความกดดันที่จะต้องฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น และจะเป็นความยั่งยืนด้านทรัพยากรและการดำรงชีวิตของคนรุ่นหลัง”
ศ.ดร.จีระ ได้กล่าวสรุปว่าโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทางการบริหารจัดการน้ำและพลังงานตามแนวพระราชดำรินั้น ได้ผ่านกระบวนการ “เรียนรู้โดยลงมือทำ (Learning by Doing)” เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน จึงเป็นหลักสูตรที่ผู้แทนของกลุ่มประเทศ GMS ยกย่องและยอมรับ
“การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการบริหารจัดการพลังงานมั่นคง สิ่งแวดล้อมยั่งยืนในกลุ่มประเทศ GMS โดย
ใช้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพและความไว้เนื้อเชื่อใจ
ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน
โดยเฉพาะการสร้างคุณภาพบุคลากรภาคพลังงานและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มประเทศ GMS จะนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างมั่นคง และยั่งยืนในภูมิภาค”.
ขอขอบคุณ ทีมเดลินิวส์38