วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มาร์ติน วีลเลอร์ ฝรั่งทำนา



มาร์ติน วีลเลอร์ ฝรั่งทำนา จบปริญญาตรีเกียรตินิยม มาทำเกษตรแบบพอเพียง


รื่องของฝรั่งคนหนึ่งที่คนไทยเรียกเขาว่าฝรั่งขี้นก
ชื่อ Martin Wheeler เป็นชาวอังกฤษ เมือง Blackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University
ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler)
๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler)
๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler)


ผมเป็นชาวอังกฤษ
เกิดในครอบครัวที่ ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละตินครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่นผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนางและ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดี เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตั


ปฏิวัติค่านิยมเก่า
ผมไม่ค่อยสนใจเรื่อง เงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่ อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆเมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้ แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้างแบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง? มี่กี่คัน? คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน? ลูกของคุณเรียนที่ไหน? เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง? จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ผมกลับคิดว่า …. ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต ๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่  อ่านต่อ....

เกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม



เกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม
บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียง

          เฮียนฮู้จากของแต๊ เผยแพร่ฮื้อลูกหลาน คือ งานเกษตรบ้านเฮา (เรียนรู้จากของจริงเผยแพร่สู่ลูกหลาน คือ งานเกษตรบ้านเรา) ประโยคนี้ติดปากและอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของใครหลายคนที่ได้เข้ามาสัมผัส และรับรู้เรื่องราวในการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ฯ ประจำตำบลร้องวัวแดง (ศูนย์เรียนรู้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงบ้านม่วงเขียว ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่) การศึกษาเรียนรู้วิถีทางเกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม และอยู่บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียงให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจอย่างแท้จริง และทำจริงจึงจะสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้กับการเกษตรของตนเองได้อย่างเหมาะสมและเกิด ประโยชน์สูงสุด



พื้นที่ประมาณ10 ไร่ ได้กลายเป็นผืนดินในการทำเกษตรแบบผสมผสาน ที่นำทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิมและอยู่บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียงเข้า มาปรับใช้อย่างเหมาะสม เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด ถูกจัดแบ่งเป็นพื้นที่การทำเกษตรในรูปแบบต่างๆ ตามอัตราส่วนร้อยละ ดังนี้
          พื้นที่สำหรับการทำนา 70 % (แบ่งเป็นการทำนาด้วยวิธีการโยนกล้า 40 % และการดำนา 30 %) และพื้นที่สำหรับการทำเกษตรแบบผสมผสาน อีก 30 % ถูกแบ่งย่อยออกเป็นพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัว (5 %) อาทิเช่น ตะไคร้ ขิง ข่า ขมิ้น ชะอม มะนาว พริก มะเขือ ผักบุ้ง โหระพา กระเพราฯลฯ ปลูกไม้ยืนต้นและไม้ผล ทั้งหลาย (4 %) เช่น มะม่วง ลำไย กล้วย มะละกอ ฯลฯ ขุดหนองเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ และเก็บน้ำไว้ใช้ในการทำเกษตร อีก 5 % เลี้ยงหมูหลุม (1 %) เลี้ยงวัวเนื้อ (1 %) เลี้ยงไก่เนื้อ (1 %) ทำน้ำส้มควันไม้ (1 %) ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ( 2 %) ทำบ่อก๊าซชีวภาพ (2 %) เพาะเห็ดนางฟ้า (2 %) ทดลองความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ (2 %) เช่น เลี้ยงไส้เดือนดิน ฯลฯ เป็นพื้นที่แห่งความสุขไว้พักผ่อนหย่อนใจและมีกระท่อมเล็กๆ เพื่อใช้ประชุมกับทีมงานอีก (4 %) ซึ่งถือว่าพื้นที่ทั้งหมดนี้ได้ถูกจัดสรรปันส่วนอย่างชัดเจนและเป็นไปตามความเหมาะสมที่ทางสมาชิกทุกคนได้ร่วมกันกำหนดไว้  อ่านต่อ......